จากกระแสโลกาภิวัตน์ที่ผลักดันให้สังคมไทยมุ่งความสำเร็จทางวัตถุ
คนในสังคมแสวงหาความสำเร็จในชีวิตทางด้านเศรษฐกิจ บ้างก็แสวงหาอำนาจ
บ้างก็แสวงหาผลประโยชน์
จนหลายคนมองเห็นตรงกันว่าปัจจุบันสังคมไทยเริ่มอ่อนแอลงเรื่อย ๆ
และกำลังเผชิญกับภาวะวิกฤติหลายด้าน ทั้งด้านการเมือง การศึกษา ศาสนา
เศรษฐกิจ สังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่พึงวิตกกังวลยิ่งนั่นคือ
คุณธรรม
จริยธรรมของคนไทยเริ่มถดถอยอันเป็นต้นเหตุที่จะนำไปสู่วิกฤติให้แก่สังคมไทย
ในอนาคต
ถ้าพิจารณาพื้นฐานปัญหาคุณธรรมจริยธรรมของเด็กและเยาวชนไทย
ส่วนหนึ่งและอาจจะเป็นส่วนใหญ่ปัญหานั้นเริ่มจาก “ปัญหาด้านครอบครัว”
ซึ่งเกิดจากการที่ครอบครัวแตกแยก พ่อแม่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน
พ่อแม่ไม่มีเวลาให้บุตรหลาน การใช้ความรุนแรงในครอบครัว และอื่น ๆ
อีกมากมาย
ซึ่งประเด็นปัญหาของสังคมที่ส่งผลกระทบต่อเด็กและเยาวชนไทยลำดับต้น ๆ
เช่น ขาดความอบอุ่นจากครอบครัว ซึ่งจะนำไปสู่การมีความรัก
การมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร รวมถึงภัยจากสื่อเทคโนโลยี
โดยเฉพาะอินเทอร์เน็ต และการเข้าถึงอบายมุขทั้งเหล้า บุหรี่
ยาเสพติดได้ง่ายดาย และที่สำคัญคือ “การขาดแบบอย่างที่ดี” นั่นเอง
ทุกครั้งที่กล่าวถึงปัญหาคุณธรรมจริยธรรมในสังคมไทย
หลายคนมักจะมองไปที่กระบวนการจัดการศึกษา
และตอกย้ำเสมอว่าเป็นความล้มเหลวของระบบการศึกษา
แต่อยากให้ทุกฝ่ายเปิดใจยอมรับว่าปัญหาเรื่องคุณธรรมจริยธรรมนั้นเป็นปัญหา
ใหญ่ระดับชาติ ดังนั้น ในการแก้ไขปัญหานั้นจะต้องเริ่มต้นจากครอบครัว
สถานศึกษา
และที่สำคัญที่สุดคือผู้ใหญ่ทุกคนในสังคมต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับเด็ก
และเยาวชน
เนื่องจากการปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมให้ประสบผลสำเร็จสูงสุดนั้นต้องปฏิบัติ
ตนให้เป็นแบบอย่าง สังคมอยากเห็นภาพเด็กและเยาวชนเป็นเช่นไร
ทุกคนในสังคมทั้งพ่อแม่ ผู้ปกครอง ครูผู้สอน ผู้บริหาร นักการเมือง
ผู้นำสังคม ผู้นำประเทศต้องประพฤติตนให้เป็นแบบอย่างที่ดี
เพราะการเป็นแบบอย่างที่ดีนั้นถือเป็นวิธีการปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมที่ดี
ที่สุด
จากสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
และด้วยสถาบันครอบครัวที่อ่อนแอลง
สังคมไทยจึงคาดหวังและมอบภาระอันหนักอึ้งนี้ให้กับโรงเรียนหรือสถาบันการ
ศึกษาที่จะช่วยกันขัดเกลาปลูกฝังและพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนเก่ง คนดี
และมีความสุข ดังที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542
แม้กระทรวงศึกษาธิการได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณธรรม
จริยธรรมมาโดยตลอด บ้างก็มุ่งเน้น “คุณ ธรรมนำความรู้” บ้างก็มุ่งเน้น
“ความรู้คู่คุณธรรม” สำหรับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช
2551 ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน
กำหนดให้สถานศึกษาพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะที่พึงประสงค์สำคัญในเบื้อง
ต้น คือ รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ซื่อสัตย์สุจริต มีวินัย ใฝ่เรียนรู้
อยู่อย่างพอเพียง มุ่งมั่นในการทำงาน รักความเป็นไทย และมีจิตสาธารณะ
“ทฤษฎีต้นไม้จริยธรรมสำหรับคนไทย” ซึ่งเป็นกรอบแนวคิดของนักการศึกษาไทย
ศ.ดร.ดวงเดือน พันธุมนาวิน เป็นทฤษฎีที่น่าสนใจมีจุดเด่น คือ
ลักษณะพื้นฐานและองค์ประกอบทางจิตใจซึ่งจะนำไปสู่พฤติกรรมที่พึงปรารถนา
เพื่อส่งเสริมให้บุคคลเป็นคนดีและคนเก่ง โดยแบ่งต้นไม้จริยธรรม ออกเป็น 3
ส่วน คือ
ส่วนที่หนึ่ง ได้แก่ ดอกและผลไม้บนต้น
แสดงถึงพฤติกรรมการทำดีละเว้นชั่ว
และพฤติกรรมการทำงานอย่างขยันขันแข็งเพื่อส่วนรวม
ซึ่งเป็นพฤติกรรมของพลเมืองดี พฤติกรรมที่เอื้อเฟื้อต่อการพัฒนาประเทศ
ส่วนที่สอง ได้แก่ ส่วนลำต้นของต้นไม้
แสดงถึงพฤติกรรมการทำงานอาชีพอย่างขยันขันแข็ง ซึ่งประกอบด้วยจิตลักษณะ 5
ด้าน คือ เหตุผลเชิงจริยธรรม มุ่งอนาคตและการควบคุมตนเอง
ความเชื่ออำนาจในตน แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ ทัศนคติ คุณธรรม และค่านิยม
ส่วนที่สาม ได้แก่ รากของต้นไม้
แสดงถึงพฤติกรรมการทำงานอาชีพอย่างขยันขันแข็ง ซึ่งประกอบด้วยจิตลักษณะ 3
ด้าน คือ สติปัญญา ประสบการณ์ทางสังคม และสุขภาพจิต
สำหรับแนวทางในการปลูกฝังเสริมสร้างคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม
และคุณลักษณะอันพึงประสงค์นั้น
ครูผู้สอนทุกคนต้องร่วมกันวางแผนและสอดแทรกไว้ในกระบวนการจัดการเรียนรู้
ทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
เพราะสิ่งเหล่านี้สามารถสร้างให้เกิดได้อย่างยั่งยืนโดยผ่านกระบวนการ
ปฏิบัติงานทั้งงานส่วนบุคคล และจากการร่วมกันทำงาน เป็นทีม
สุดท้ายขอฝากคุณครูทุกท่านพึงตระหนักไว้เสมอว่าท่านเป็นบุคคลที่สำคัญ
ยิ่ง นอกจากท่านมีหน้าที่ในการสอนหนังสือแล้ว
ยังต้องคำนึงถึงภาระหน้าที่ที่สังคมคาดหวัง อีกอย่าง นั่นก็คือ
การปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมที่เหมาะสมให้กับผู้เรียนในแต่ละช่วงวัย
เพื่อร่วมกันสรรค์สร้างผู้เรียนซึ่งเป็นอนาคตของประเทศชาติให้เป็นคนที่มี
ความรู้คู่คุณธรรมนำชีวิตไปสู่ความสุขและจะนำสันติสุขมาสู่สังคมไทยต่อไป.
ที่มา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น